แมนฯซิตี้ ชนะ เรอัล มาดริด 4-3

“เรือใบสีฟ้า” เบียดคว้าชัยเหนือ เรอัล มาดริด แบบเป่าปาก 4-3

“เรือใบสีฟ้า” เบียดคว้าชัยเหนือ เรอัล มาดริด แบบเป่าปาก 4-3 กุมความได้เปรียบไปก่อนในยกแรก นัดนี้ เควิน เดอ บรอยน์ ทั้งยิง-ทั้งจ่าย ขณะที่ คาริม เบนเซม่า โชว์เหนือเหมาสองเม็ดขึ้นนำดาวซัลโว ยูฟ่า ชปล. 14 เม็ด โดยนัดสองจะกลับไปเล่นที่ เบร์นาเบว ในวันพุธหน้า

ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 26 เมษายนที่ผ่านมาระหว่างจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก แมนฯซิตี้ เปิด เอติฮัด สเตเดี้ยม รับจ่าฝูงลาลีกา เรอัล มาดริด

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือเรือใบสีฟ้า จัดสามแนวรุกอย่าง ริยาด มาห์เรซ, กาเบรียล เชซุส และฟิล โฟเดน โดยมี เควิน เดอ บรอยน์ ปั้นเกมร่วมกับ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ส่วนฝั่ง “ราชันชุดขาว” แชมป์สูงสุด 13 สมัย ซึ่งมี คาร์โล อันเชลอตติ คุมทัพส่งสามแนวรุก โรดรีโก้, คาริม เบนเซม่า และวินิซิอุส จูเนียร์

เปิดฉากครึ่งแรกมาได้แค่ นาทีเศษๆ “เรือใบสีฟ้า” ทะยานขึ้นนำ 1-0 อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ ริยาด มาห์เรซ เลี้ยงตัดจากขวาเข้ามาก่อนเปิดด้วยซ้ายมาบริเวณจุดโทษให้ เดอ บรอยน์ สอดมาพุ่งโขกเข้าไปอย่างสวยงาม

จากนั้นนาทีที่ 11 แฟนซิตี้ในเอติฮัด สเตเดี้ยมได้เฮกันลั่นสนามหลัง แมนฯ ซิตี้ นำห่างเป็น 2-0 โฟเด้น พาบอลเลื้อยมาทางซ้ายก่อนคืนให้ เควิน เดอ บรอยน์ ครอสเร็วไปในกรอบ กาเบรียล เชซุส ชิงถึงบอลก่อน อลาบา แล้วพลิกยิงด้วยขวาผ่านตัว กูร์กตัวส์ เข้าไป

นาทีที่ 17 โอกาสแรกของ เรอัล มาดริด หลังแนวรับซิตี้พลาดบ้างโดน โมดริช แย่งบอลก่อนถึง เบนเซม่า แทงให้ วินิซิอุส ซัดมุมแคบก่อนไปแฉลบบล็อคแข้งเจ้าถิ่นออกหลังไป

นาทีที่ 26 แนวรับของชุดขาวมาพลาดอีก โดน เดอ บรอยน์ แย่งบอลไปได้ก่อน แบร์นาร์โด้ แทงบอลให้ มาห์เรซ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปโดยที่มีทางเลือกที่ โฟเด้น วิ่งมารอเดี่ยวๆอยู่แล้วแต่เจ้าตัวเลือกซัดมุมแคบเข้าข้างตาข่าย ชนิดที่ เป๊ป หัวเสียต้องลุกมาโวย

อีกสามนาทีถัดมา ซิตี้ ลุยมาอีก เดอ บรอยน์ จ่ายสุดเหนือพาสด้วยขวาจังหวะเดียวให้ โฟเด้น หลุดมาทางซ้ายก่อนซัดเลียดถากเสาไกลออกไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 30 ทัพของอันเช่มาได้ลุ้นจากลูกเตะมุม โทนี่ โครส เปิดมาเสาแรกให้ อลาบา โฉบมาสะบัดโขกหลุดเสาสองออกไปอย่างสุดเสียว

กระทั่ง นาทีที่ 33 เรอัล มาดริด มาพังประตูตีไข่แตกได้สำเร็จ จากจังหวะที่เจ้าถิ่นเสียบอลตรงกลางก่อนบอลจะมาถึง แฟร์กล็องด์ เมนดี ครอสบอลไปหน้าประตูให้ เบนเซม่า วิ่งมาซัดไปแฉลบ ซินเชนโก เปลี่ยนทางไปชนเสาด้านในเข้าไป

อีกสองนาทีถัดมา “ชุดขาว” เกือบได้ลุ้นตีเสมอหลัง การ์บาฆาล ให้ โรดรีโก้ แหวกเข้าไปซัดมุมแคบแต่บอลยังพุ่งไปติดมือ เอแดร์ซอน ทุบออกหลังไป

นาทีที่ 36 เป๊ป แก้เกมทันทีที่เสียประตู ถอดเอา จอห์น สโตนส์ ออกแล้วส่ง แฟร์นานดินโญ่ ลงไปเล่นแทน

แมนฯซิตี้ ชนะ เรอัล มาดริด 4-3

จบครึ่งแรก แมนฯซิตี้ ขึ้นนำ เรอัล มาดริด 2-1

กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง อันเชลอตติ นายใหญ่เรอัล มาดริด เปลี่ยนตัวคนแรกถอด ดาวิด อลาบา ออกแล้วส่ง นาโช่ เฟร์นานเดซ ลงไปเล่นแทน

นาทีที่ 48 แฟนเรือใบเกือบได้เฮเม็ดที่สาม หลัง ริยาด มาห์เรซ จิ้มหนีมิลิเตาหลุดเดี่ยวเข้าไปปั่นด้วยซ้ายบอลหนีมือ กูร์กตัวส์ ไปแล้วแต่ดันไปชนเสา แม้ โฟเด้น จะตามมาซ้ำแต่ก็ยังไปติด การ์บาฆาล ที่ถอยลงมาขวางก่อนเคลียร์ออกไป

จนแล้วจนรอด แมนฯซิตี้ ก็มานำห่าง 3-1 จนได้ ในนาทีที่ 53 จากจังหวะที่เจ้าถิ่นตัดเกมได้ทางขวาก่อน แฟร์นานดินโญ่ จะขึ้นมาแล้วครอสมากลางประตูให้ ฟิล โฟเด้น หนีตัวประกบวิ่งมาโขกบอลลงพื้นตุงตาข่าย

แต่ลูกทีมของ เป๊ป ดีใจได้ไม่นาน นาที่ที 55 เรอัล มาดริด ทวงประตูไล่มาเป็น 2-3 ทันควัน จากจังหวะที่ วินิซิอุส จูเนียร์ โชว์สเต็ปปล่อยบอลจนลอดขา แฟร์นานดินโญ่ ก่อนพลิกควบบอลเกือบครึ่งสนามสปีดหนีเข้าไปซัดเสียบเสาไกลอย่างเฉียบขาด

นาทีที่ 67 เดอ บรอยน์ ให้ ซินเชนโก ขึ้นมาก่อนแบ็กชาวยูเครนจะครอสเลียดไปหน้าประตูถึง อายเมริค ลาปอร์กต์ ที่เติมมาตวัดยิงแต่บอลยังไปตรงตัว ติโบต์ กูร์กตัวส์ แม้จะรับกระฉอกแต่ตามมารับไว้ได้

นาทีที่ 74 โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก โดนขวางล้มลงหน้ากรอบแต่ผู้ตัดสินไม่เป่าให้ได้เปรียบเล่นต่อจนบอลถึง แบร์นาร์โด้ หลุดไปซัดเต็มแรงมุมแคบบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างสวยงามให้ แมนฯซิต้ นำห่าง 4-2

นาทีที่ 83 แมนฯซิตี้ มาเสียจุดโทษหลัง อายเมริค ลาปอร์กต์ ทำเสียแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าให้ เรอัล มาดริด ได้จุดโทษก่อนที่ คาริม เบนเซม่า จะซัดให้ชุดขาวไล่มาเป็น 3-4 ซึ่งเป็นประตูที่สองในเกมนี้ พร้อมขึ้นนำดาวซัลโวแชมเปี้ยนส์ลีกที่ 14 ประตู

จบเกม แมนฯซิตี้ เบียดเอาชนะ เรอัล มาดริด แบบสนุก 4-3 กุมความได้เปรียบก่อนในเกมแรก ก่อนนัดสองจะไปเล่นที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ในวันพุธหน้า

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์สัน – จอห์น สโตนส์ (แฟร์นานดินโญ่ น.36), รูเบน ดิอาส, อายเมริค ลาปอร์กต์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก – เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี, แบร์นาโด ซิลวา – ริยาด มาห์เรซ, กาเบรียล เชซุส (ราฮีม สเตอร์ลิง น.83), ฟิล โฟเดน

เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – ดานี คาร์บาฆาล, เอแดร์ มิลิเตา, ดาวิด อลาบา (นาโช่ แฟร์นานเดซ น.46), แฟร์กล็องด์ เมนดี – โทนี โครส, ลูก้า โมดริช (ดานี่ เซบายอส น.79), เฟเดริโก วัลเวล์เด้ – โรดรีโก้ (เอดูอาร์โด้ คามาวินก้า น.70), คาริม เบนเซม่า, วินิซิอุส จูเนียร์ (มาร์โก อาเซนซิโอ้ น.88)

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ markthompsonartist.com

Releated